คนใช้โซเชียลมีเดียต้องรู้ แชร์ข้อมูลทางเฟสบุ๊คอย่างไรไม่ผิดหมิ่นประมาท ฯ หรือพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

คนใช้โซเชียลมีเดียต้องรู้ แชร์ข้อมูลทางเฟสบุ๊คอย่างไรไม่ผิดหมิ่นประมาท ฯ หรือพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 

มีข้อพิจารณาดังนี้

หลักกฎหมายความผิดฐานหมิ่นประมาท          มาตรา 326 มีหลักว่า  ...ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

จากมาตราดังกล่าว แยกองค์ประกอบได้เป็น

              1)ผู้ใด ผู้ใส่ความ :ผู้กระทำ(ผู้กระทำการหมิ่นประมาท)

              2) ใส่ความผู้อื่น ต่อบุคคลที่สาม

              3)โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นได้รับความเสียหาย

           4) มีการกระทำโดยเจตนา (องค์ประกอบภายใน)

              องค์ประกอบที่สำคัญคือ การกระทำโดยเจตนาคือ ต้องมีเจตาใส่ความ การมีเจตนาคือต้องรู้ข้อเท็จจริงที่เป็นองค์ประกอบความผิด เช่น รู้ว่าข้อความนั้นเป็นเท็จเป็นการใส่ความ และข้อความนั้นจะต้องมีลักษณะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง

              การแชร์ เผยแพร่ หรือส่งต่อข้อมูลของผู้อื่นหรือข่าวสาร ทางโซเชีลมีเดีย นั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่าผู้แชร์จะต้องรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดจึงจะเป็นการหมิ่นประมาทผู้อื่นได้ คือ ต้องรู้ว่า ข้อความที่แชร์นั้นเป็นความเท็จ (ตามหลักไม่รู้=ไม่มีเจตนา) หากไม่รู้ก็ถือว่าไม่มีเจตนาตามป.อาญา มาตรา 59 วรรคสาม ไม่ครอบองค์ประกอบความผิด

              อีกประการหนึ่ง ความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น ข้อความจะต้องมีการยืนยันข้อเท็จจริง ดังนี้หากผู้แชร์ เพียงแต่กดแชร์ข้อความเฉยๆ  ไม่ได้มีการบรรยายโพสยืนยันข้อเท็จจริงที่แชร์นั้น ว่าเป็นจริงเป็นเท็จอย่างไร ก็ไม่น่าจะผิดฐานหมิ่นประมาท และหากไม่ได้มีการเติม ตัดทอน ข้อความ แก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนาหมิ่นประมาทหรือไม่

            ดังตัวอย่าง คดี ซึ่งจำเลยเป็นรัฐมนตรีคนหนึ่ง ได้มีการคัดลอกข้อความของ นางสาว พ.ซึ่งกล่าวถึง นาง ว.  มาลงในเฟสบุ๊ค นาง ว.จึงฟ้องต่อศาลว่ากระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ต่อมาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องศาลพิพากษายกฟ้อง   โดยวินิจฉัยว่าข้อความที่โพสหรือแชร์นั้น  จำเลยมิได้มีการตัดต่อเปลี่ยนแปลง แม้แสดงความคิดเห็นตอบกลับข้อความของ...........แต่ไม่ถือว่าเป็นการยืนยันว่าข้อความของ นางสาว พ.เป็นข้อเท็จจริง จึงไม่เป็นการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทตามฟ้อง

ตัวอย่างฎีกาตัดสินข้อกฎหมายเรื่องเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3992/2539 แม้จำเลยที่1จะ ไม่มี เจตนา หมิ่นประมาทโจทก์ร่วมและลงพิมพ์ข้อความไปตามคำสัมภาษณ์ของจำเลยที่2ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบความเป็นไปในพรรคการเมืองนั้นก็ตามแต่เมื่อหนังสือพิมพ์ซึ่งจำเลยที่1เป็น บรรณาธิการลงข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมจำเลยที่1ก็ย่อมมีความผิดในฐานะเป็น ตัวการตามพระราชบัญญัติการพิมพ์พ.ศ.2484มาตรา48 ศาลล่างลงโทษปรับจำเลยทั้งสองตาม อัตราโทษของกฎหมายที่ใช้บังคับภายหลังการกระทำผิดซึ่งมีโทษปรับสูงกว่ากฎหมายเดิมจึงไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองและไม่อาจนำกฎหมายดังกล่าวมาปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสองได้ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6310/2539 จำเลยนำแถบบันทึกเสียงที่มีผู้สนทนากันกล่าวถึงผู้เสียหายทั้งสองมีพฤติกรรมในทางชู้สาวต่อกันที่โรงเรียนที่ผู้เสียหายทั้งสองสอนอยู่ไปเปิดให้นาย ส.ม.หัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอกับพวกฟังที่บ้านของนาย ส.ม.โดยเกิดจากการแนะนำของนาย ส.กับนายส.ม. และผู้ร่วมฟังแถบบันทึกเสียงก็เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับวงการศึกษาทั้งสิ้น ทั้งไม่ใช่เปิดในที่สาธารณสถานเป็นทำนองปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะหากผู้เสียหายทั้งสองกระทำการในทางชู้สาวจริง นอกจากจะผิดต่อศีลธรรมแล้วยังผิดในทางวินัยข้าราชการอีกด้วย เนื่องจากผู้เสียหายทั้งสองต่างรับราชการเป็นครูและต่างมีสามีและภรรยาแล้ว ดังนั้น การกระทำดังกล่าวจึงไม่มีเจตนาที่จะใส่ความผู้เสียหายทั้งสองให้ถูกดูหมิ่นเกลียดชังหรือเสียหาย แต่เป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำจำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

 

สำหรับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ก็เช่นเดียวกัน คนแชร์จะมีความผิดได้จะต้องรู้ ว่าข้อมูลที่แชร์ไปนั้นเป็นข้อมูลเท็จตาม มาตรา 14  (5)

 

พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ปี 2560 มาตรา 14 มีหลักว่า ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

 

(1) ดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา

 

(2) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน

 

(3) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา

 

(4) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได

 

(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)

  

ดังนั้น  การดำเนินการคนที่แชร์ข้อความตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ  จะต้องมีพยานหลักฐานพิสูจน์ “เจตนา" ของผู้แชร์ให้ได้  ว่าผู้แชร์รู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์เท็จ....หรือลามก หรือเกี่ยวกับความมั่นคง ตาม ตาตรา 14   นอกจากนี้ ซึ่งโดยทั่วไป ผู้แชร์อาจจะเชื่อว่าสิ่งที่แชร์ไม่ใช่ข้อมูลเท็จเพราะมาจากสำนักข่าวหรือแหล่งที่น่าเชื่อถือ คือไม่รู้ว่าเป็นข้อมูลเท็จตาม (1)(2)หรือลามกตาม(3) ที่เป็นความผิดตามมาตรา 14   และ หากผู้แชร์พิสูจน์ได้ว่าไม่รู้ ไม่มีเจตนา  ก็ย่อมไม่มีความผิด

 

สรุป.การแชร์ เผยแพร่ หรือส่งต่อข้อมูลทางโซเชียลมีเดีย จะผิดหมิ่นประมาท พรบ.คอมฯได้จะต้องมีเจตนา รู้ข้อเท็จจริงทีแชร์ว่าเป็นเรื่องเท็จ หากเผยแพร่โดยไม่มีการยืนยันข้อเท็จจริง ย่อมไม่ผิด

 

หลักกฎหมายเรื่องเจตนา ที่เกี่ยวข้อง

ป.อ.มาตรา 59  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

      วรรค กระทำโดยเจตนา ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

       วรรค 3  ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กอบเกียรติ ทนายความ นบ. นบท ผู้เขียน/รวบรวม

ฟ้องร้องต่อสู้คดีหมิ่นประมาทฯ พ.ร.บ.คอมฯ โทร 0864031447 ไลน์ kobkiatlaw

Visitors: 146,376