การฟ้องร้องต่อสู้คดีความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ มีหลักเกณฑ์สำคัญอย่างไร
ความผิดฐานเบิกความเท็จและฟ้องเท็จ มีองค์ประกอบในการฟ้องร้องและต่อสู้คดีอย่างไรบบ้าง
มาตรา 177 ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล
ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรก
ได้กระทำในการพิจารณาคดีอาญา ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี
และปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นสี่พันบาท
องค์ประกอบ
1.เบิกความอันเป็นเท็จ
2.ในการพิจารณาคดีต่อศาล
3. ความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี หมายถึง
ข้อเท็จจริงที่มีผลทำให้ศาลพิพากษาให้แพ้หรือชนะคดีได้
4.เจตนา
ตัวอย่างคดี ศาลฎีกาได้วางหลักกฎหมายการเบิกความเท็จไว้ดังต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 130/2508
ป.อ. มาตรา 177, 181 (1)
กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 155
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 มิได้วางเกณฑ์องค์ประกอบความผิดไว้ว่า
พยานที่เบิกความเท็จนั้นจะต้องได้สาบานหรือปฏิญาณตัวแล้วด้วยจึงจะมีความผิดดังเช่นในกฎหมายลักษณะอาญา
มาตรา 155ความมุ่งหมายอันเป็นสารสำคัญของมาตรา 177 อยู่ที่จะเอาผิดกับผู้เบิกความในข้อสำคัญแห่งคดีด้วยความเท็จเป็นสำคัญเพราะการเบิกความเท็จต่อศาลย่อมมีส่วนทำให้เสื่อมเสียความยุติธรรมได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 424/2512
ป.อ. มาตรา 177
จำเลยเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด
ฟ้องขอให้โจทก์ชำระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างพร้อมทั้งดอกเบี้ย โจทก์ให้การต่อสู้ว่า
ได้จ่ายเช็คเงินสดชำระหนี้ค่าสิ่งของให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้นแล้วแต่เช็คของโจทก์หลายฉบับรับเงินไม่ได้
จำเลยจึงมอบให้นายวินัยนำเช็คไปแจ้งความร้อยตำรวจโทชัยชาญพนักงานสอบสวนได้ให้โจทก์ชำระหนี้จำเลยโดยจำเลยและผู้แทนจำเลยมอบให้ร้อยตำรวจโทชัยชาญเป็นคนกลางรับชำระหนี้แทน
โจทก์ได้ชำระหนี้ให้จำเลยเป็นเงินสดและนางสาวพยุงบุตรสาวโจทก์ได้จ่ายเช็คให้อีก 6
ฉบับจำเลยหรือผู้แทนจำเลยได้รับเงินไปตามเช็คที่ถึงกำหนดแล้วบางฉบับ
จำเลยได้เข้าเบิกความเป็นพยานต่อศาลว่าโจทก์ไม่เคยออกเช็คชำระหนี้ให้จำเลย
จำเลยไม่เคยรู้จักนายวินัย ไม่เคยมอบให้นายวินัยไปแจ้งความเรื่องโจทก์ออกเช็ค
โจทก์ไม่เคยเอาเช็คของนางสาวพยุงชำระหนี้จำเลยไม่เคยรับเช็คจากร้อยตำรวจโทชัยชาญ
ไม่รู้จักร้อยตำรวจโทชัยชาญ และไม่เคยพิพาทเรื่องเช็คกับโจทก์
ซึ่งข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นพยานนี้เป็นความเท็จ
หากศาลหลงเชื่อตามคำเบิกความของจำเลยก็อาจทำให้ศาลไม่เชื่อข้อต่อสู้ของโจทก์ว่าได้ชำระหนี้บางส่วนให้จำเลยแล้วย่อมจะตัดสินให้โจทก์แพ้คดี
ฉะนั้นคำเบิกความเท็จของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดี
จำเลยต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จ
การฟ้องคดีฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177นั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่าพยานจะต้องสาบานตัวก่อนเบิกความ
จึงจะเป็นความผิด
คำพิพากษาฎีกาที่ 561/2508
ป.อ. มาตรา 177, 181, 264, 265, 267
คำว่า ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปในประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 181(1) นี้หมายถึงว่าอัตราโทษขั้นต่ำของความผิดนั้นจะต้องมีระวางโทษจำคุก
3 ปีเป็นอย่างน้อยที่สุด
การเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญา
ไม่ใช่เรื่องแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความแต่เป็นเรื่องเบิกความซึ่งศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจจดข้อความตอนใดหรือไม่จดก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความการจดจึงเป็นเรื่องของศาล
ไม่ใช่เรื่องของพยานที่จะแจ้งให้ศาลจดข้อความอันเป็นเท็จ
ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา267
จำเลยไม่ใช่นายช่วง
แต่มาอ้างต่อศาลว่าเป็นนายช่วงและข้อเท็จจริงที่จำเลยเบิกความว่าได้รู้เห็นเหตุการณ์จำเลยก็มิได้รู้เห็นจริง
กับจำเลยได้ลงนามปลอมว่า นายช่วง
ในคำเบิกความที่ศาลจดไว้อีกด้วยความผิดฐานเบิกความเท็จสำเร็จได้โดยไม่ต้องอาศัยการลงนามปลอมการลงนามปลอมของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 264 อีกด้วยแต่จำเลยหามีความผิดฐานปลอมเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 265 อีกมาตราหนึ่งไม่
คำพิพากษาฎีกาที่ 5558/2534
ป.อ. มาตรา 175, 177
คดีก่อนโจทก์เข้าร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1
ตาม ป.อ. มาตรา 188 จำเลยที่ 2 เบิกความเท็จต่อศาลศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้หยิบยกเอาคำเบิกความของจำเลยที่
2 ขึ้นวินิจฉัย
หากแต่ได้วินิจฉัยกับพยานหลักฐานอื่นแล้วเชื่อว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดจริง คำเบิกความของจำเลยที่ 2จึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดี
จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จ ส่วนจำเลยที่ 1
เข้าเบิกความในฐานะพยานซึ่งเป็นอีกฐานะหนึ่งต่างหากจากการเป็นตัวจำเลยจะยกเอาสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลยมาอ้างเพื่อยกเว้นความรับผิดฐานเบิกความเท็จไม่ได้
และคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวที่ว่าจำเลยที่ 1
เพียงแต่หยิบเอาภาพถ่ายใบหย่าไป
ไม่ได้หยิบเช็คตามฟ้องนั้นเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ฉีกเช็คของโจทก์อันเป็นข้อสำคัญในคดีอาญาดังกล่าวซึ่งจำเลยที่
1 ถูกฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ฉีกเช็คที่จำเลยที่
1 สั่งจ่ายชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเบิกความเท็จ คดีหลัง จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ในข้อหาลักทรัพย์
ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 นำความเท็จมาฟ้องและเบิกความเท็จว่า
โจทก์ลักเอาทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ไปอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์
โดยจำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าข้อความตามฟ้องและที่เบิกความนั้นเป็นเท็จ
แม้ศาลได้พิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและโจทก์ในคดีดังกล่าวยังไม่อยู่ในฐานะเป็นจำเลย
จำเลยที่ 1ยังมีความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ
กฎหมายมิได้บัญญัติว่าเป็นความผิดต่อเมื่อศาลได้ประทับฟ้องใช้แล้ว.
คำพิพากษาฎีกาที่ 4900/2537
ป.อ. มาตรา 177
การเบิกความในการพิจารณาคดีของศาล
ไม่ว่าจะเป็นชั้นไต่สวนมูลฟ้องหรือชั้นพิจารณาก็เป็นการพิจารณาคดีของศาลเช่นเดียวกันส่วนคำว่าข้อสำคัญในคดีก็หมายถึงเนื้อหาหรือสาระของคำเบิกความหาใช่เรื่องขั้นตอนในการเบิกความไม่
ดังนั้นถ้าพยานเบิกความเท็จและข้อความที่เบิกความเป็นสาระสำคัญของคดีที่เบิกความ
ไม่ว่าจะเป็นการเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องหรือในชั้นพิจารณาของศาล
ก็เป็นการเบิกความเท็จที่เป็นข้อสำคัญในคดีอันเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาฎีกาที่ 126-127/2523
ป.อ. มาตรา 177
ในคดีแพ่งที่จำเลยทั้งสองถูก ส.
ฟ้องว่าผิดสัญญาขายที่ดินและเรียกค่าเสียหาย
ซึ่งโจทก์ถูกเรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยนั้น ศาลได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า
จำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้โจทก์
(ซึ่งเป็นจำเลยร่วม)ขายที่พิพาทหรือไม่ อันเป็นประเด็นสำคัญชี้ขาดการแพ้ชนะคดีนั้น
การที่จำเลยทั้งสองเบิกความอันเป็นเท็จว่าไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ไปจำหน่ายหรือขายที่ดินให้คนอื่น
จึงเป็นข้อความสำคัญในคดี
เมื่อจำเลยเบิกความเท็จและข้อความนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีแม้คดีนั้นจะเสร็จเด็ดขาดลงด้วยการประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็ตามการกระทำที่เป็นการเบิกความเท็จของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จแล้ว
จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
คำพิพากษาฎีกาที่ 224/2532
ป.วิ.อ. มาตรา 172
ป.อ. มาตรา 177
ในคดีก่อน จำเลยถูกฟ้องในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์ที่ผู้เสียหาย
(โจทก์คดีนี้) ขับสวนทางมา เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส
และมีบุคคลอื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายบาดเจ็บ
การที่จำเลยเบิกความในคดีก่อนว่า
ผู้เสียหายขับรถยนต์ชนรถยนต์ที่จำเลยขับในช่องทางเดินรถของจำเลย มีพวกผู้เสียหายเก็บเศษกระจกและเศษไม้จากช่องทางเดินรถของจำเลยไปไว้ในช่องทางเดินรถของผู้เสียหาย
เท่ากับเบิกความว่า เหตุที่รถยนต์ชนกันเป็นความผิดของผู้เสียหาย
มิใช่ความผิดของจำเลยซึ่งเป็นประเด็นโดยตรงของคดีก่อนที่ว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทหรือไม่
ข้อความที่จำเลยเบิกความจึงเป็นข้อสำคัญในคดี
แม้จำเลยจะมีสิทธิในการต่อสู้คดีและจะให้การอย่างไร
หรือไม่ยอมให้การในคดีก่อนก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 172
ก็ตาม แต่ในชั้นพิจารณาคดีดังกล่าว
ตัวจำเลยได้เข้าเบิกความในคดีในฐานะพยาน ซึ่งเป็นอีกฐานะหนึ่งต่างหากจากการเป็นตัวจำเลย
หากคำเบิกความของจำเลยเป็นเท็จจำเลยก็ต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จ
จะยกเอาสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลยมาอ้างเพื่อยกเว้นความรับผิดฐานเบิกความเท็จหาได้ไม่
ความผิดฐานฟ้องเท็จ ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 175 ผู้ใดเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา
หรือว่ากระทำความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นความจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
มาตรา 176 ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา 175
แล้วลุแก่โทษต่อศาล และขอถอนฟ้องหรือแก้ฟ้องก่อนมีคำพิพากษา
ให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้หรือศาลจะไม่ลงโทษเลยก็ได้
1.เจตนา คือ
ต้องรู้ว่าความที่ฟ้องนั้นเป็นเท็จ
2.เอาความเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาล
3.ว่ากระทำผิดอาญา คือ ต้องเป็นความผิดอาญาเท่านั้น
ทางแพ่งไม่ผิดฟ้องเท็จ
3.หรือฟ้องว่ากระทำผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นความจริง
เช่น ความผิดฐานลักทรัพย์ นำไปฟ้องว่า ชิงทรัพย์หรือล้นทรัพย์ ซึ่งมีอัตราโทษที่สูงกว่าลักทรัพย์ เป็นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
1815/2537
ความผิดฐานฟ้องเท็จย่อมเกิดขึ้นทันทีที่ฟ้องคดี
หาใช่ว่าต้องรอให้คดีนั้นถึงที่สุด
หรือต้องฟังว่าผู้เสียหายได้รับความเสียหายหรือไม่ก่อนแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396/2543พิพ
ากษาการที่โจทก์ออกเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน500,000 บาทให้แก่จำเลยนั้น เป็นการออกเช็คเพื่อค้ำประกันเงินกู้ที่โจทก์กู้ไปจากจำเลยจำนวน120,000 บาทเมื่อจำเลยนำเช็คพิพาทฉบับดังกล่าวไปฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์ออกเช็คให้แก่จำเลยเพื่อชำระหนี้เงินกู้โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯมาตรา4 จึงเป็นการฟ้องคดีอาญาต่อศาลว่าโจทก์กระทำความผิดการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จ
จำเลยเบิกความในการพิจารณาคดีอาญาของศาลชั้นต้นยืนยันตามฟ้องว่าเช็คพิพาทตามที่จำเลยฟ้องเป็นเช็คที่โจทก์ออกเพื่อชำระหนี้เงินกู้ให้จำเลย
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ออกเช็คพิพาทให้จำเลยยึดถือไว้เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ที่โจทก์มีอยู่ต่อจำเลย
คำเบิกความของจำเลยย่อมเป็นความเท็จและเป็นข้อสาระสำคัญในคดี
เพราะถ้าศาลชั้นต้นฟังว่าเช็คพิพาทโจทก์ออกให้จำเลยเพื่อเป็นการชำระหนี้เงินกู้
ศาลชั้นต้นก็อาจพิพากษาลงโทษจำคุกโจทก์ได้ ดังนั้น
จำเลยย่อมมีความผิดฐานเบิกความเท็จ
การที่จำเลยฟ้องเท็จและเบิกความเท็จในคดีอาญา
ถึงแม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกฟ้อง
แต่โจทก์ผู้ถูกฟ้องย่อมได้ความเสียหายจากการกระทำของจำเลย
โจทก์เป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย
การที่โจทก์ออกเช็คพิพาทและเขียนหนังสือประกอบการออกเช็คให้จำเลยมิใช่เพื่อจำเลยนำมาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ
โจทก์จึงมิได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลย
การที่จำเลยนำความเท็จมาฟ้องโจทก์และเบิกความเท็จนั้น
ก็โดยเจตนาให้โจทก์ต้องโทษทางอาญา
หากศาลเชื่อว่าเป็นความจริงดังคำฟ้องและคำเบิกความของจำเลยแล้ว โจทก์อาจถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกได้
ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคม จึงไม่สมควรรอการลงโทษจำคุก